ย้อนรอย..วิวัฒนาการลูกฟุตบอล ” พรีเมียร์ลีค ” จาก อดีต สู่ ปัจจุบัน

เมื่อพูดถึงลูกฟุตบอล ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่พัฒนา และ มีวิวัฒนาการมาอย่างต่อเนื่องไม่แพ้รองเท้าฟุตบอล เมื่อแบรนด์กีฬายักษ์ใหญ่ต่างก็แข่งขันพยายามออกแบบลูกฟุตบอลให้มีความสวยงาม และ พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆใส่เข้าไปในลูกฟุตบอล เพื่อให้ลูกฟุตบอลมีความทันสมัยมากขึ้น โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พรีเมียร์ลีค ลีกสูงสุดของอังกฤษ มีการหมุนเวียนเลือกใช้ลูกฟุตบอลจากหลายแบรนด์กีฬา เพื่อใช้ในการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีค

ซึ่งก่อนหน้านี้แฟนบอลก็มักจะคุ้นเคยกับแบรนด์ Mitre แบรนด์กีฬาสัญชาติอังกฤษ ที่เก่าแก่สุดในโลก ที่เป็นสปอนเซอร์ลูกฟุตบอลมาในช่วงปี 1992 – 2000 แต่เมื่อขึ้นศตวรรษที่ 21 ทางพรีเมียร์ลีกก็เปลี่ยนจาก ไมเตอร์ (Mitre) มาเป็น ไนกี้ (Nike)  ค่ายอุปกรณ์กีฬายักษ์ใหญ่  ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของวงการฟุตบอลพรีเมียร์ลีคเลยก็ว่าได้ เนื่องจากไนกี้ได้เป็นสปอนเซอร์ลูกฟุตบอลให้กับ พรีเมียร์ลีค มาอย่างยาวนานจนถึงปัจจุบัน

ในวันนี้เราจะพาแฟนๆฟุตบอลพรีเมียร์ลีค นั่งไทม์แมชชีน ย้อนไปดูวิวัฒนาการของลูกฟุตบอลที่ใช้ในการฟาดแข้งในศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีคตั้งแต่ปี 1992 – ปัจจุบัน ว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรเกิดขึ้นบ้าง

1992 – 2000 : Mitre Pro Max & UltiMax

พรีเมียร์ลีก ถือกำเนิดขึ้นในปี 1992 และแบรนด์ Mitre ถือเป็นผู้บุกเบิกลูกฟุตบอล ที่ใช้ทำศึกพรีเมียร์ลีก ลีกสูงสุดของแดนผู้ดีในยุคก่อตั้ง  โดยพรีเมียร์ลีก เริ่มใช้ Mitre รุ่น Pro Max ในช่วงระหว่างปี 1992-1995 ก่อนจะเปลี่ยนเป็นรุ่น Ultimax ในปี 1995-2000

2000 – 2004 : Nike Geo Merlin

ลูกฟุตบอล Nike รุ่น Geo Merlin ถูกออกแบบโดยเน้นให้มีโครงสร้างรองรับแบบไดนามิก ลดแรงเสียดทานขณะลูกฟุตบอลลอยในอากาศ ช่วยให้ลูกบอลคงรูปเมื่อถูกกระแทก ทั้งความหนักหน่วงของลูกยิงที่ซัดได้แบบเต็มเท้า และการไซด์โค้งที่แม้ตีวงกว้าง แต่จะโค้งกลับเข้ามาสู่เป้าหมายได้ง่ายขึ้น 

2004 – 2008 : Nike T90 Aerow

ลูกฟุตบอล T90 ถือได้ว่าเป็น สุดยอดแห่งนวัตกรรมลูกฟุตบอล รุ่นที่ต้องยกให้เป็นที่หนึ่งในดวงใจของแฟนบอลเลยก็ว่าได้ กับการผลิตลูกฟุตบอลที่ใช้แนวคิดจากหลักอากาศพลศาสตร์ โดยการออกแบบให้ลูกฟุตบอลมีร่องโค้งรับอากาศขนาด 1.2MM ช่วยให้ลูกฟุตบอลลอยได้รวดเร็วกว่า ไกลกว่า และแม่นยำกว่าลูกฟุตบอลรุ่นอื่นๆ  ลายกราฟิกจากเทคโนโลยีเรด้าร์ (RaDaR) ของไนกี้เพื่อประสิทธิภาพช่วยสร้างคลื่นการรับรู้ทางสายตาที่ชัดเจน ในส่วนผิวเปลือกลูกบอลผลิตจาก High-Solid Teijin PU ที่มีเนื้อวัสดุอนุภาคเล็ก (Micro-textured) ให้ความยืดหยุ่นและการคงรูปทรงและความทนทาน โดยลูกฟุตบอลรุ่น Total 90 ได้รับการโหวตจากสำหนักข่าวต่างๆทั่วโลกให้เป็นลูกฟุตบอลรุ่นที่มีความมีเอกลักษณ์ของลูกฟุตบอลที่มีความน่าประทับใจ และมีความโดดเด่นมากที่สุด

2008 – 2009 : Nike T90 Omni

Nike T90 Omni มีจุดเด่นที่ Nike ใส่เทคโนโลยีที่เรียกว่า GEO 2 ทำให้ลูกฟุตบอลมีความโค้งกลมตลอดทั้ง360 องศา ช่วยกระจายแรงกดรอบๆไปยังชิ้นผิวเปลือกลูกฟุตบอลได้เท่าๆกันอย่างทั่วถึง ช่วยให้ลูกบอลลอยได้นานขึ้น รวดเร็วกว่า ไกลกว่า และ มีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น

2009 – 2010 : Nike T90 Ascente

ลูกฟุตบอลไนกี้ T90 Ascente นั้นถูกผลิตขึ้นในช่วงกลางปี 2009 เพื่อใช้แทนรุ่น T90 Omni ซึ่งคุณสมบัติพิเศษของลูกฟุตบอลลูกนี้ นอกจากเรื่องความก้าวหน้าทางนวัตกรรมสามารถการรับแรงเตะได้ดีในทุกๆส่วนของ พื้นผิวลูกบอล และ ความสามารถในการเพิ่มระยะการเตะให้กับนักฟุตบอลแล้ว ดีไซน์ของลายลูกฟุตบอลที่ออกแบบมายังทำให้นักฟุตบอลมองเห็นได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

2010 – 2011 : Nike T90 Tracer

ไนกี้ ได้อธิบายสรรพคุณของลูกฟุตบอล T90 Tracer ลูกนี้ว่าเป็นลูกฟุตบอลที่ดีที่สุดเหมาะกับลีกที่ดีที่สุดด้วยการออกแบบลวดลายที่มีความละเอียดสูง และการควบคุมลูกฟุตบอลได้ดีอย่างน่าทึ่ง จุดสัมผัสรอบด้าน 360 องศา ทำให้ยิงประตูได้อย่างแม่นยำ ลวดลายสวยหรูแบบใหม่ทำให้เห็นวิถีของลูกฟุตบอลได้อย่างชัดเจนเพื่อการวอลเลย์ลูกฟุตบอลได้อย่างสมบูรณ์แบบ ยิงทุกลูกลุ้นทุกลูก

2011 – 2012 : Nike Seitrio

สำหรับ T90 Seitiro ได้รับพัฒนาขึ้นโดยสืบทอดมรดกความยอดเยี่ยมของลูกฟุตบอลในตระกูล T90 ที่ได้สร้างชื่อเสียงไว้ในฐานะลูกบอลที่ใช้ในการแข่งขันอย่างเป็นทางการของลีกฟุตบอลชั้นนำระดับโลกมากมาย โดย T90 Seitiro เป็นลูกฟุตบอลที่ถูกพัฒนาขึ้นตามนวัตกรรรมทางวิทยาศาสตร์ด้วยกราฟฟิกสีสันที่สว่าง  และ ถูกออกแบบเพื่อวิสัยทัศน์ในการเล่นที่สามารถเห็นบอลได้ชัดเจนขึ้น  และ หุ้มด้วยพื้นผิวภายนอกอย่างละเอียด ( ไมโคร-เทกเจอร์ )  เพื่อให้สามารถทรงตัวอยู่บนอากาศได้อย่างมั่นคง  ความนิ่งของลูกบอลทำให้มีความแม่นยำเพิ่มขึ้น  ไม่ว่าจะเป็นการรับ-ส่ง  การคอนโทรลบอล  และการยิงประตู ในส่วนของการสัมผัสฟุตบอล  ไนกี้ ให้ความสำคัญต่อการสัมผัสบอลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น  โดยใช้ส่วนประกอบในการผลิตที่ดีเยี่ยม  และห่อหุ้มถึง 5 ชั้น  เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของลูกบอล  ทำให้นักเตะรู้สึกสัมผัสแรกของบอลที่นิ่มนวลขึ้น

2012 – 2013 : Nike Maxim

Nike ออกแบบลูกฟุตบอล รุ่น Maxim ให้มีความโดดเด่นมากยิ่งขึ้น โดยการปรับสีของลูกฟุตบอลให้เป็นสีขาว และ เติมลวดลายกราฟิกบนพื้นผิวลูกฟุตบอล ให้ทั่วด้วย สีฟ้า น้ำเงิน แดง ด้วยลายกราฟฟิคคล้าย กระจกแตกร้าว ที่มีความโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของลูกฟุตบอล Maxim

2013 – 2014 : Nike Incyte

ไนกี้ อินไซต์ (Nike Incyte) ประกอบขึ้นด้วยชิ้นส่วน 5 ชิ้น ที่เป็นส่วนสำคัญด้านการสัมผัสบอลในจังหวะแรก ช่วยให้นักกีฬาควบคุมบอลได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย และด้วยความยืดยุ่นของผิวลูกฟุตบอลจะช่วยให้การยิงของนักเตะมีความแรงและยังแม่นยำมากกว่าที่เคย และด้วยเทคโนโลยี RaDaR (Rapid Decision and Response) ช่วยเพิ่มการมองเห็นลูกบอลขณะเล่นให้ชัดเจนขึ้น และช่วยให้ผู้เล่นสามารถควบคุมลูกบอลได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น

2014 – 2015 : Nike Ordem 2

Nike รุ่น Ordem 2 เป็นลูกฟุตบอลรุ่นแรกที่ Nike ใส่เทคโนโลยี Aerowtrac grooves ที่ช่วยให้ลูกบอลพุ่งแหวกอากาศได้อย่างเสถียรมากขึ้น

2015 – 2016 : Nike Ordem 3

Nike Ordem 3 ถูกออกแบบให้มีแอโรไดนามิค มีร่องโค้งรับอากาศที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้ลูกฟุตบอลเคลื่อนที่ผ่านอากาศได้อย่างมีเสถียรภาพไม่ว่าจะยิงด้วยความเร็วระดับไหนก็ตาม กรอบห้าเหลี่ยมทั้ง 12 กรอบของออร์เดม 3 นั้นช่วยเพิ่มการพุ่งตัวในอากาศด้วยการกระจายแรงกดดันอย่างทั่วถึงทั้งลูกบอล ทำให้ Nike Ordem 3 มีคุณสมบัติเด่นคือ การสัมผัสลูกฟุตบอลจะให้ความรู้สึกที่มั่นคง สามารถยิงลูกได้อย่างแม่นยำและทรงพลัง จุดเด่นอีกอย่างก็คือกราฟฟิคที่พิมพ์ลงบนออร์เดม 3 ทั้ง 12 กรอบช่วยให้นักเตะมองเห็นลูกบอลได้ง่ายขึ้น ช่วยให้ตัดสินใจได้เร็วและเฉียบขาด ที่สำคัญที่สุดคือช่วยให้การเล่นนั้นได้ผลดีมากยิ่งขึ้น

2016 – 2017 : Nike Ordem 4

ลูกฟุตบอล Nike  รุ่น Ordem 4 จะใช้การตัดเย็บแบบพาเนล 12 ชิ้นมาเชื่อมต่อกัน โดยมีการเพิ่มเทคโนโลยี Aerowtrac ช่วยให้ลูกฟุตบอลพุ่งแหวกอากาศได้ดี และ มีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น ในส่วนการดีไซน์จะมีการออกแบบสีสันและลวดลายกราฟฟิคบนลูกบอลที่เน้นให้โดดเด่น สามารถสังเกตุเห็นได้ง่าย ชัดเจนต่อสายตา ช่วยให้นักฟุตบอลมองหาลูกฟุตบอลได้ไวขึ้น

2017 – 2018 : Nike Ordem V

ลูกฟุตบอลรุ่น Ordem V มีจุดเด่นเรื่องสีสันแบบ 3 มิติ โดยความพิเศษของ “Ordem V” คือการออกแบบให้ลูกฟุตบอลกระจายแรงกดบนพื้นผิวไปได้ทั่วทั่งใบ ทำให้ผู้เล่นสามารถคอนโทรลลูกฟุตบอลได้ง่าย รวมทั้งใช้นวัตกรรมที่ช่วยให้ลูกบอลพุ่งแหวกผ่านอากาศได้อย่างมั่นคง ทำให้การยิงประตูมีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น

2018 – 2019 : Nike Merlin

ลูกฟุตบอลใหม่ Nike Merlin ที่จะมาใช้ในการแข่งขันฟุตบอลลีกชั้นนำฤดูกาลปี 2018/19 แทนที่ Ordem 5 มาด้วยสโลแกน ” Fewer panels, more goals ”  โดย Nike อธิบายว่าลูกฟุตบอล Nike Merlin ได้มีการเปลี่ยนเทคโนโลยีการผลิตมาใช้แผ่นหนังเพียง 4 ชิ้นในการนำมาประกบเป็นพื้นผิว ซึ่งทำให้ Nike Merlin เป็นลูกฟุตบอลที่ใช้ในแมตช์ทางการที่มีแผ่นหนังน้อยที่สุดในโลกเป็นรุ่นแรก นอกจากนี้สิ่งที่น่าสนใจคือเป็นครั้งแรกที่ Nike นำเทคโนโลยี ACC (All Conditions Control) ที่เดิมใช้กับรองเท้าฟุตบอลมาใช้กับลูกฟุตบอล ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวจะทำให้ผู้เล่นสามารถควบคุมบอลได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพสนามหรือสภาพอากาศแบบใดก็ตาม

2019 – 2020 : Nike Merlin 

ในปี 2019 – 200 ยังคงใช้ชื่อรุ่นว่า ‘เมอร์ลิน’ Merlin และใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบน้อยชิ้น เพื่อให้มีรอยต่อ ตะเข็บน้อย (ใช้แผ่นหนังเพียง 4 ชิ้นในการนำมาประกบเป็นพื้นผิวลูกฟุตบอล  ) และ ก็ยังคงใส่เทคโนโลยี All Conditions Control (ACC) ลงไปในลูกฟุตบอลเหมือนกับ Nike Merlin ที่ใช้ในฤดูกาล 2018 – 2019  แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปคือในเรื่องของดีไซน์ที่เน้นให้ดูเตะตา สีที่ใช้จะเป็นชมพู-ดำ โดย Nike ยังได้ปรับเปลี่ยน ขยายจุดสัมผัส หรือที่เรียกกันว่า สวีต สปอต (Sweet Spot) บนลูกฟุตบอลให้ใหญ่กว่าเดิม และ ร่องบนพื้นผิวของลูกฟุตบอลที่เพิ่มมากขึ้นเพื่อช่วยในเรื่องของ แอโร่ไดนามิค เวลาที่ลูกฟุตบอลลอยอยู่ในอากาศได้ดีขึ้นอีกด้วย ซึ่งหมายความว่า ลูกฟุตบอลรุ่นนี้น่าจะถูกใจกองหน้าและเป็นปัญหาผู้รักษาประตูมากขึ้น

2020 – 2021 : Nike Flight

สำหรับลูกฟุตบอลอย่างเป็นทางการของศึกพรีเมียร์ลีก 2020/2021 มีชื่อว่า Nike Flight โดยไนกี้นำเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดมาใช้กับลูกฟุตบอลรุ่นนี้ คือ “Aerow Sculpt” ที่มีแนวคิดมาจากพื้นผิวอันขรุขระของลูกกอล์ฟ ซึ่งจะช่วยให้บอลพุ่งไปได้อย่างเสถียรมากขึ้นกว่าเดิม 30% เมื่อเทียบกับ Nike Merlin ลูกฟุตบอลของซีซั่นก่อนหน้านี้ ซึ่งมักจะมีอาการ “ส่าย” ระหว่างพุ่งแหวกกลางอากาศ จนทำให้ผู้รักษาประตูหลงทางจนเสียสุนัขมาแล้วหลายคน ขณะเดียวกัน ไนกี้ระบุว่า ถึงแม้ Nike Flight จะลดการส่ายลงไป แต่ใช่ว่าผู้รักษาประตูจะเจองานง่ายขึ้น เพราะ Nike Flight มีพื้นผิวที่ขรุขระ ซึ่งทำให้การยิงแบบไซด์โค้ง จะส่งให้บอลนั้นมีวิถีโค้งมากขึ้นกว่าเดิม

2021 – 2022 : Nike Flight

ในปี 2021 – 2022 ลูกฟุตบอลที่ใช้ในพรีเมียร์ลีก ก็ยังคงเป็นรุ่น Nike Flight แต่มีการปรับปรุงรูปร่างหน้าตาให้โดดเด่นแตกต่างไปจากเดิม โดยมีการเพิ่มลวดลายกราฟิกออร์แกนิกสีดำ ที่สะท้อนให้เห็นว่า ถึงความตื่นเต้น และ ความเชื่อมโยงกันของแฟนฟุตบอลพรีเมียร์ลีกทั่วทั้งโลก นอกจากนี้ ยังเพิ่มความโดดเด่นด้วยรูปวงกลมสีส้มแดง แต้มเข้าไปในตัวลูกบอล ซึ่งจะช่วยให้ผู้เล่นสามารถอ่านความเร็วการหมุนของบอลได้ง่ายขึ้น อีกทั้งช่วยให้นักฟุตบอลมีการตอบสนอง และมั่นใจในการเล่นมากขึ้น ขณะเดียวกัน เทคโนโลยี Aerow Sculpt (แอโรว์ สคัลปท์) ที่มีแนวคิดมาจากพื้นผิวอันขรุขระของลูกกอล์ฟ ซึ่งถูกนำมาในลูกฟุตบอล Nike Flight  ของฤดูกาลที่แล้ว ก็ถูกนำมาปรับปรุงใหม่ให้ดีกว่าเดิมในซีซั่นนี้ เพื่อให้ลูกบอลมีความเสถียรและเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่สมจริงมากที่สุด

2022 – 2023 : Nike Flight Third Ball 

ฤดูกาล 2022/23 จะเป็นการฉลองครบรอบ 30 ปี นับตั้งแต่ลีกสูงสุดของอังกฤษเปลี่ยนมาใช้ชื่อพรีเมียร์ลีก ดังนั้นไนกี้จึงนำเอาลูกฟุตบอลของพรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 1992/93 มาเป็นแรงบันดาลใจ ในการสร้างลูกบอลใหม่ใบนี้ ลูกฟุตบอล Nike Flight Third Ball ถูกออกแบบในสไตล์ย้อนยุคโดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากลูกฟุตบอลไมเตอร์ รุ่น “โปร-แม็กซ์ 1992/93” โดยลูกฟุตบอลดังกล่าวจะมีสีสัน และ ลวดลายกราฟฟิกสี ทอง, แดง, น้ำเงิน ที่พวกเขาเคยใช้เมื่อปี 1992 พร้อมทั้งเพิ่มความเท่ห์ด้วยการใส่ลายกากบาทขนาดใหญ่สีทองขอบน้ำเงินไว้รอบลูกบอล และ มีการเพิ่มเทคโนโลยี Aerow Sculpt (แอโรว์ สคัลปท์) ร่องยาวเล็ก ๆ บนผิวลูกฟุตบอล ช่วยให้ลูกฟุตบอลพุ่งแหวกอากาศไปสู่เป้าหมายได้ด้วยความแม่นยำมากขึ้น 30% และ เทคโนโลยี All Conditions Control (ACC) เพิ่มพื้นผิวในการยึดเกาะเพื่อสัมผัสที่แม่นยำทั้งสภาพพื้นผิวเปียกและแห้ง

2023 – 2024 : Nike Flight

ลูกฟุตบอลโฉมใหม่มีส่วนคล้ายฟุตบอลที่ใช้ในฤดูกาล 2021-2022 โดยจะมาพร้อมกับลวดลายกราฟิก สีส้ม-ขาว ที่สดใสทำให้มองเห็นได้ง่ายในสนาม และ ตัดด้วยลายเส้นสีม่วง ซึ่งเป็นลวดลายพิกัดของประเทศต่างๆ 121 ประเทศ อันเป็นตัวแทนของทั้ง 121 เชื้อชาติของนักฟุตบอลในพรีเมียร์ลีก แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายที่รวมกันเป็นหนึ่งเดียว โดยลวดลายทั้งหมดพิมพ์ด้วยหมึก 3D All Conditions Control ของ Nike และยังคงมาพร้อมเทคโนโลยี AerowSculpt ที่ทำให้บอลพุ่งไปในทิศทางที่แม่นยำ มีพื้นผิวที่ยึดเกาะช่วยลดการเคลื่อนไหวในอากาศ

2024 – 2025 : ????

ปิดตำนาน 25 ปี ลูกบอล ไนกี้ กับ พรีเมียร์ลีก ภาพจำลูกฟุตบอลหลากสีสันของ พรีเมียร์ลีก ภายใต้การผลิตของ ไนกี้ กำลังจะเหลือแต่อดีต เนื่องจากมีรายงานออกมาแล้วว่า ฤดูกาล 2024-2025 สัญญาระหว่าง พรีเมียร์ลีก กับแบรนด์ผลิตภัณฑ์กีฬาสัญชาติอเมริกันอย่าง ไนกี้ (Nike) จะสิ้นสุดลง และ จะกลายเป็นทาง พูม่า (Puma) แบรนด์สปอร์ตแวร์สัญชาติเยอรมัน ที่จะเข้ามารับหน้าที่ผลิตลูกฟุตบอลให้พรีเมียร์ลีก โดยเริ่มตั้งแต่ซีซัน 2025/26

นั่นก็จะทำให้หลังปี 2025 เราจะไม่ได้เห็นลูกฟุตบอลของ ไนกี้ (Nike) ใน 5 ลีกใหญ่ของยุโรปอีกแล้ว โดยในปัจจุบัน พูม่า (Puma) ได้ลิขสิทธิ์ในการผลิตลูกบอลให้ พรีเมียร์ลีก, เซเรีย อา และ ลา ลีกา รวมไปถึงลีกรองของแดนผู้ดี ส่วนทางฝั่ง บุนเดสลีกา ใช้แบรนด์ ซีเล็ค สปอร์ต (Select Sport) จากประเทศเดนมาร์ก และ ลีกเอิง ฝรั่งเศส เลือกใช้ยี่ห้อ คิปส์ตา (Kipsta) แบรนด์กีฬาในประเทศของตัวเอง 

Leave a comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *